‘พิธา’ ขอบคุณ ปชช. บริจาค ภาษีพรรคก้าวไกล 12.6 ล้านบาท

‘พิธา’ ขอบคุณ ปชช. บริจาค ภาษีพรรคก้าวไกล 12.6 ล้านบาท

พิธา โพสต์ขอบคุณประชาชนร่วม บริจาค ภาษีพรรคการเมือง 12.6 ล้านบาท ประกาศกร้าวทำงานเต็มที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศ นาย พิธา ลิ้มเจริฐรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ออกมาโพสต์ข้อความและภาพที่มาจากเพจ The Politics ลงเฟซบุ๊กถึงจำนวนเงินบริจาคภาษีพรรคการเมืองที่พบว่าพรรคก้าวไกลนำมาเป็นอันดับหนึ่ง และมากกว่าอันดับสองหรือพรรคประชาธิปปัตย์เกือบ 4 เท่า

นายพิธาระบุว่า “ขอขอบคุณแรงสนับสนุนจากประชาชนคนธรรมดาทุกคน

พวกเรามีความตั้งใจที่จะทำงานให้ทุกคนที่เลือกบริจาคให้เราในรอบนี้รู้สึก ‘คุ้มค่า’ ที่สุดในทุกบาททุกสตางค์ และทำให้คนที่ยังไม่ได้บริจาคในรอบนี้รู้สึกว่า อยากจะบริจาคให้เราไว้ทำงานให้พวกท่านในรอบถัดไป ผมและทีมงานพรรคก้าวไกลจะพยายามทำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในประเทศของเราให้ได้ จะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังครับ”

โดยอันดับเงินบริจาคภาษีพรรคการเมืองนั้นเป็นพรรคก้าวไกลที่นำมาเป็นอันดับเงินด้วยจำนวนเงิน 12.6 ล้านบาท, ประชาธิปปัตย์ 3.2 ล้าน, พรรคกล้า 2.5 ล้าน, พลังประชารัฐ 2 ล้าน และอันด้บห้าคือ เพื่อไทย 1.4 ล้าน

จุรินทร์ เผยตนเห็นด้วยกับการตัดสินใจ เปิดประเทศ ของนายกฯในวันที่ 1 พ.ย. นี้ ชี้มีการท่องเที่ยวเข้ามาจะช่วยเพิ่ม GDP ได้ นาย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม ประกาศเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศเสี่ยงในวันที่ 1 พฤศจิกายน

โดยนาย จุรินทร์ ระบุว่า ตนเห็นด้วย เพราะหลักสำคัญที่ตนเคยพูดคือเราต้องนำเศรษฐกิจฝ่าวิกฤตโควิด-19 ไปให้ได้ ต้องยอมรับความจริงว่าสองเครื่องยนต์หลักที่ช่วยประเทศขับเคลื่อนเศรษฐกิจคือการส่งออกกับการท่องเที่ยว

เมื่อเราเจอสถานการณ์โควิด-19 เราเหลือแค่เพียงการส่งออก ส่วนการท่องเที่ยวนั้นหายไปเยอะ จากตัวเลขก่อนสถานการณ์โควิดคิดเป็น 11% ของ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) แต่ช่วงวิกฤตโควิด-19 จนถึงวันนี้เหลือเพียงแค่เปอร์เซ็นต์กว่าๆ ขณะที่การส่งออกเพิ่มไปถึง 51% จึงถือว่าการส่งออกเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา และเมื่อเราเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเข้ามา โดยมีเงื่อนไขดูแลมาตรการโควิดควบคู่กันไป ก็จะมีการท่องเที่ยวเติมเข้ามา ทำให้จีดีพีของเราเพิ่มขึ้นไปได้ ส่วนเรื่องของสถานการณ์นั้นกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้ตอบ แต่ตนมองว่าก็ดีขึ้นเรื่อยๆ

“เราต้องดูว่าสมดุลอยู่ตรงไหนระหว่างโควิด-19 กับเศรษฐกิจ รัฐบาลมีหน้าที่แก้ทั้ง 2 ข้อ เป็นโจทย์ที่ทับซ้อนกันอยู่ ถ้าเราดูโควิด-19 อย่างเดียวโดยไม่ดู เศรษฐกิจมันก็ลำบาก แต่ถ้าดูเศรษฐกิจไม่สนใจโควิด-19 ก็จะเดือดร้อนด้านสุขภาพ อาจเสียชีวิตมากขึ้น ต้องดูให้สมดุล นายกฯ ต้องตัดสินใจ ซึ่งนายกฯ ดูแล้วว่าวันที่ 1 พฤศจิกายน สามารถเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเข้ามาโดยลดเงื่อนไขต่างๆ ที่เป็นข้อจำกัด ก็ต้องฟังนายกฯ” นายจุรินทร์ กล่าว

‘ธนกร’ เผย ‘ประยุทธ์’ เปิดประเทศ แสดงศักยภาพประเทศไทย

โฆษกสำนักนายกฯ แถลงหลัง ประยุทธ์ เปิดประเทศ 1 พ.ย. ชี้เป็นการแสดงศักยภาพประเทศไทยให้นานาชาติเห็นถึงความพร้อม

นาย ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากการแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการ เฉพาะกิจฯ ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2564 วางเป้าหมาย ประเทศไทยจะเริ่มเปิดรับการเดินทางเข้าประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป โดยไม่ต้องกักตัว ภายใต้ข้อกำหนดเงื่อนไขที่คำนึงถึงความปลอดภัยสาธารณสุขคนไทยและชาวต่างชาติ

อาทิ ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และเดินทางเข้าประเทศไทยโดยทางอากาศจากประเทศที่กำหนดว่า เป็นประเทศความเสี่ยงต่ำ เป็นต้น การเปิดประเทศที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้เป็นการสร้างบรรยากาศและส่งสัญญาณให้นานาชาติตลอดจนนักท่องเที่ยวทั่วโลกได้เห็นถึงความพร้อมและศักยภาพของประเทศไทย

อย่างไรก็ตามขอเน้นย้ำกับประชาชนคนไทยทุกคนซึ่งแม้ว่ารัฐบาลจะมีการเตรียมเปิดประเทศ แต่ก็ขอให้ยังคงระมัดระวังและป้องกันตนเอง “การ์ดอย่าตก” ยังต้องยึดหลักอนามัยส่วนบุคคล ดูแลตัวเองแบบครอบจักรวาล รวมทั้งผู้ประกอบการ ชุมชน ตลาด ต้องปฏิบัติตามมาตรการ COVID-Free Setting อย่างเคร่งครัด

นายธนกร กล่าวว่า รัฐบาลกำลังเร่งทำงานโดยเร่งการฉีดวัคซีนให้ประชาชน การจัดหาวัคซีนตลอดจนการรับส่งมอบวัคซีนของไทยที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในสิ้นปีนี้ ไทยจะได้รับมอบวัคซีนถึง 178.2 ล้านโดส อีกทั้ง ยอดการฉีดวัคซีนสะสมของไทยวันนี้ ยังมากกว่า 61 ล้านโดส มั่นใจไทยบรรลุเป้าหมายการฉีดวัคซีนครอบคลุมร้อยละ 70 ของกลุ่มเป้าหมาย

ท่านนายกฯ ฝากเน้นย้ำให้คนไทยทุกภาคส่วนเป็นส่วนหนึ่งในการ เตรียมความพร้อม รับผิดชอบร่วมกัน ช่วยกันสร้างความมั่นใจในการเปิดประเทศ ในฐานะเจ้าของบ้านร่วมกัน ด้วยการที่ประชาชนทั่วไปต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันส่วนบุคคล อาทิ Universal Prevention ผู้ประกอบการ โรงงานภาคอุตสาหกรรม ดำเนินการตามมาตรการ COVID-Free Setting อย่างเคร่งครัด เพื่อร่วมกันผลักดันเศรษฐกิจสู่การเปิดประเทศที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน รวมทั้งยังสอดคล้องกับมาตรการผ่อนคลายกิจการ/กิจกรรม ในปลายปีนี้ด้วย

Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป